เรียกว่าเป็นปฐมบทแห่งรถยนต์ซีรีส์ไฟฟ้า ของค่ายโตโยต้า ที่ร่ำลือกันมาตั้งแต่ปลายปี 2564 ที่ว่า..โตโยต้าจะนำมาทำตลาดในไทยปีนี้ ว่าจะประกอบในไทยปีนี้ ว่าจะนำเข้ามาปีนี้ ว่าจะ ๆ ๆ ..กันมาตลอด
ล่าสุดบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้มีการแถลงยอดขายรถยนต์ประจำปี 2564 โดยคาดการณ์ตลาดรวมปี 2565 ที่ 860,000 คัน พร้อมทั้งตั้งเป้าประมาณการขายโตโยต้าที่ 284,000 คัน โดย มร. โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้แถลงสถิติการจำหน่ายรถยนต์ปี 2564 พร้อมคาดการณ์ตลาดรถยนต์ไทยปี 2565 เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 ในการแถลงข่าวผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมกันนี้ยังมีการเปิดเผยว่า
“ในประเทศไทยนั้น โตโยต้าเป็นผู้ริเริ่มแนะนำเทคโนโลยีด้านยานยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 โดยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 80% และมีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของโตโยต้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เราสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ลงไปได้ 148,000 ตัน ซึ่งเท่ากับการปลูกต้นไม้ 2 ล้านต้น อีกทั้งในปีที่แล้ว เรายังได้ทำการแนะนำ เลกซัส UX300e ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และ เลกซัส NX450h+ ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด สำหรับแบรนด์โตโยต้า เรามีแผนที่จะทำการแนะนำ bZ4X ซึ่งถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของซีรีส์ bZ ออกสู่ตลาดภายในปีนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เราจะพยายามส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าอีกหลากหลายรุ่นต่อไปในอนาคต ซึ่งความมุ่งมั่นดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของภาครัฐที่มุ่งเดินหน้าส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้า การพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนการบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ นอกจากนี้ เรายังได้มีการประสานความร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อพยายามผลักดันการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนโดยครอบคลุม ‘ตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์’ ยกตัวอย่างเช่น ‘โครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ’ ซึ่งเราจะสาธิตให้เห็นถึงการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลากหลายประเภทในการเดินทางคมนาคม ภายในเมืองพัทยา และเราได้เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ในการริเริ่มใช้โครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด เช่น ไฮโดรเจน พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานชีวภาพ ใน ‘นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด’ อีกด้วย”
“bZ4X” รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ซีรีส์ bZ ใหม่ล่าสุดจากค่ายโตโยต้า
bZ4X เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) รุ่นแรกที่โตโยต้าได้พัฒนาและสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มเฉพาะของ BEV ใหม่ ตามปรัชญาของ e-TNGA โดยการพัฒนาในครั้งนี้เป็นการจับมือกันระหว่าง Subaru และ Toyota ในการรวมชุดแบตเตอรี่ไว้เป็นส่วนหนึ่งของแชสซีส์บริเวณพื้นรถ ทำให้ได้ประโยชน์ด้านจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ให้ความสมดุลของน้ำหนักด้านหน้า/ด้านหลังที่ยอดเยี่ยม และได้ความแข็งแกร่งของตัวรถสูงขึ้น มอบความปลอดภัย การขับขี่ และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น
Toyota bZ4X เป็นรถเอสยูวีที่ได้รับการออกแบบให้มีกว้างขวางและสะดวกสบาย มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อรูปแบบใหม่ การออกแบบภายนอกดูสะอาดตา โฉบเฉี่ยว และทรงพลังสะท้อนถึงทั้งคุณภาพขั้นสูงของ BEV และสถานะของรถ SUV และเปิดตัวรูปทรงด้านหน้า “หัวค้อน” ที่กำหนดแบรนด์ใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงจุดยืนที่แข็งแกร่งของรถ
ด้วยระยะฐานล้อยาว ทำให้ได้ห้องโดยสารที่กว้างขวางขนาด 5 ที่นั่ง
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ใน bZ4X
โตโยต้าได้ใช้ประสบการณ์เกือบ 25 ปีเต็มในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรักษาคุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือในระดับชั้นนำของโลก โดยคาดการณ์ว่า bZ4X จะใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนเป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อน และคาดว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะมีขีดความสามารถในการขับเคลื่อนพาตัวรถไปได้ไกลมากกว่า 450 กม. (ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับรุ่นรถ และข้อมูลขนาดแบตเตอรี่ที่ทางโตโยต้ากำหนดขึ้นในภายหลัง)
ตามข่าวช่วงที่มีการแนะนำ bZ4X ในปี 2564 ทางโตโยต้า หมายหมั้นปั้นมือว่าจะนำเสนอคุณสมบัติทางเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งรวมถึงหลังคาแผงโซลาร์เซลล์เพื่อช่วยในชาร์จแบตเตอรี่ในขณะขับรถหรือจอดรถกันเลยทีเดียว และนอกจากนี้โตโยต้าก็ยังได้เตรียม Toyota Safety Sense รุ่นที่ 3 ที่มีระบบความปลอดภัยเชิงรุกและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่ปรับปรุงใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแพลตฟอร์มเฉพาะ BEV ใหม่ของโตโยต้า..ดังนั้น สำหรับสาวกโตโยต้าทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือจับตามองว่าจะได้ของหรือเทคโนโลยีตามที่โตโยต้าปั้นฝันไว้หรือไม่..
การออกแบบ และภายในห้องโดยสาร ตัวโปรดักชั่นคาร์ อย่าคาดหวังว่าจะได้แบบนี้
โตโยต้า ออกแบบ bZ4X ออกมาได้เฉี่ยวล้ำสมัย โดยการผสมผสานรูปลักษณ์ขั้นสูงของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ BEV เข้ากับคุณสมบัติดั้งเดิมของรถยนต์เอนกประสงค์แบบ Crossover SUV โดดเด่นด้วยรูปทรง “หัวค้อน” ที่กำหนดแบรนด์ใหม่พร้อมชุดไฟหน้าเพรียวบางอันเป็นเอกลักษณ์และเน้นที่มุมด้านหน้าที่สื่อถึงจุดยืนที่แข็งแกร่งของรถ
มุมมองด้านข้าง แสงและเงา เส้นสายโดยรวมดูโฉบเฉี่ยวคล้ายเลกซัส ด้วยความสูงของตัวถังมาแนวสปอร์ตดูได้จากกราวน์เคลียร์แรนซ์ดีไซน์ให้ต่ำ ดีไซน์เสาหน้าเรียว สะท้อนถึงจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำซึ่งทำได้จากแพลตฟอร์มใหม่ หล่อซุ้มล้อ ล้ออัลลอยด์ดีไซน์สวยขนาดใหญ่ (คาดว่าไม่น่าเกิน 20 นิ้ว) ที่ดันออกไปจนถึงมุมตัวถัง แสดงถึงเอกลักษณ์ของ SUV แท้ๆ ของตัวรถ บริเวณด้านหลัง เน้นการออกแบบสวยซึ้งโดยเน้นที่ไฟท้าย โดดเด่นดึงดูดดูเชื่อมต่อกับเส้นสายของตัวรถ
เมื่อเปรียบเทียบกับ Toyota RAV4 มิติภายนอกนั้นแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการออกแบบที่มีอยู่ในแพลตฟอร์ม e-TNGA ตัวอย่างเช่น bZ4X มีความสูงโดยรวมที่ต่ำกว่า 85 มม. ระยะยื่นที่สั้นกว่า และระยะฐานล้อที่ยาวกว่า RAV4 160 มม. ความสูงของเส้นฝากระโปรงลดลง 50 มม. ความคล่องตัวโดยรวมสะท้อนให้เห็นในรัศมีวงเลี้ยวระดับชั้นนำ 5.7 ม.
การออกแบบประกอบด้วยองค์ประกอบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่เอื้อต่อช่วงการขับขี่ที่กว้างขวาง รวมถึงช่องรับแสงที่มุมกันชนหน้าลึกเพื่อสร้างม่านอากาศที่นุ่มนวล แผ่นปิดใต้ท้องรถแบบเต็ม; สปอยเลอร์หลังคาแบบแยกส่วนและสปอยเลอร์หลังแบบหางเป็ด ดิฟฟิวเซอร์ด้านหลัง; และหน้าจอด้านหลังที่ทำมุมได้อย่างแม่นยำ กระจังหน้าล่างเพรียวบางมีชัตเตอร์ที่ปรับช่องลมเย็นที่ไหลเข้าสู่แบตเตอรี่และช่วยลดแรงต้านลม
ด้านสถิติการขายรถยนต์ในปี 2564 ในไทย
มร. ยามาชิตะ เผยถึงยอดขายของโตโยต้าในปีที่ผ่านมาว่า “สำหรับยอดขายของโตโยต้าในปี 2564 นั้น ยอดขายรวมของเราอยู่ที่ประมาณ 239,723 คัน หรือลดลง 1.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเรายังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 หรือเท่ากับ 31.6% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งหากว่ากันตามตรง ถือว่าต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ แต่ถ้าเราดูยอดขายของปีที่แล้วจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ของเราเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา สืบเนื่องมาจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ ถ้าเราลองดูที่ยอดขายของโตโยต้าในระหว่างช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 4 จะเห็นได้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของเราอยู่ที่ 32.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไกล้เคียงกับในปี 2562 หรือช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 จะระบาด โดยในส่วนของยอดขายของไฮลักซ์ รีโว่ นั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 39.1% ซึ่งสูงกว่าของปี 2562 ในขณะที่ เอทีฟ และ ยาริส นั้น ก็สามารถครองอันดับ 1 ในตลาดรถ อีโคคาร์”
“ในส่วนของตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ โตโยต้ามียอดขายรวมทั้งปีเป็นอันดับ 1 ถึง 2 ปีซ้อน ด้วยยอดขายที่สูงเป็นประวัติการณ์ของโคโรลลา ครอส ส่วนฟอร์จูนเนอร์เองก็มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในตลาดรถกระบะดัดแปลงต่อเนื่องมาเป็นเวลา 10 ปี ในขณะเดียวกัน คัมรี ก็ครองอันดับ 1 ในตลาดรถยนต์ขนาดกลาง ส่วนไฮเอซก็ครองอันดับ 1 ตลอดกาลเช่นกันสำหรับในตลาดรถตู้ ซึ่งเราขอแสดงความขอบคุณต่อลูกค้าคนสำคัญและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้สนับสนุนเราเป็นอย่างดีเสมอมา”
แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565
มร. ยามาชิตะ กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปี 2565 ว่า “เป็นไปได้ว่าโควิด-19 จะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย อย่างไรก็ดี เราคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปพร้อมๆ กับการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจโดยรวมทั้งหมด นอกจากนี้ ประชาชนเองก็เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ให้ได้อย่างปลอดภัยแล้ว ส่วนปัญหาชิ้นส่วนการผลิตขาดตลาดก็จะค่อยๆ คลี่คลายลงเช่นกัน เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติและคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2565 จะอยู่ที่ 860,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 13.3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว”
มร. ยามาชิตะ กล่าวเสริมว่า “สำหรับโตโยต้า เราตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 284,000 คัน หรือเพิ่มขึ้น 18.5% โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 33%”