“ท่ามกลางกระแสรถอีวีจีนฟีเวอร์ ตามด้วยเดือนตุลาคม 2024 ที่จะถึงนี้ คู่แข่งตัวฉกาจเตรียมทำคลอดลุยตลาดรถเมืองไทยซ้ำ แน่นอนว่า Honda Accord e:HEV ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Full Hybrid ย่อมต้องถูกตั้งข้อเปรียบเทียบ..แล้วทำไมต้อง Honda Accord e:HEV? Honda มีดีอะไร?”
วันนี้ ทีม ISPEED จะพาไปหาคำตอบว่าทำไมคุณต้องเลือก Honda Accord e:HEV และแน่นอนว่า อะไรที่ขาดหายไป อะไรที่กั๊ก จนทำให้รถยนต์แบรนด์ Honda มียอดจำหน่ายทรงๆ ไม่โดดเด่นเหมือนเก่าก่อน สิ่งไหนที่ควรปรับตัวก่อนพ่ายศึกนี้ให้กับรถอีวีแบรนด์จีน..ชาวเรามาวิเคราะห์ไปด้วยกันค่ะ
นับตั้งแต่ช่วง 3-4 ปีก่อนแบรนด์รถยนต์จีน เริ่มทยอยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ด้วยการเผยโฉมรถยนต์แนวไฮบริดบ้าง รถยนต์ไฟฟ้าบ้าง เปิดตัวใหม่กันจนฝุ่นตลบ ในขณะที่ค่าย HONDA ณ เวลานั้นจนถึงปัจจุบัน มีเพียงการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ และที่ดูจะเชิดหน้าชูตาได้ก็มีเพียง Honda City e:HEV ใหม่ ตามด้วย Honda Accord e:HEV ใหม่ และที่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวไปหมาด กับ Honda Civic e:HEV ใหม่ ซึ่งทุกโมเดลล้วนแล้วแต่ชูเทคโนโลยี Full Hybrid ส่วนที่เข้ามาเติมสีสันให้ตลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า Honda e:N1 ซึ่งช่วงแรกที่เปิดตัว หลายท่านเรียกกันว่า “น้องวันละพัน” กับก้าวแรกคือการเปิดให้เช่าขับ และต่อมาก็ประกาศยุติการผลิตไว้ที่ 420 คัน ซึ่งน่าเห็นใจตรงที่ค่ายรถญี่ปุ่นไม่ได้รับการสนับสนุน อุดหนุนด้านภาษีสรรพสามิตเหมือนค่ายรถจีน เห็นได้ว่านี่คือช่วงเวลาที่โหดร้ายเป็นที่สุดสำหรับแบรนด์หลักในตลาดรถยนต์เมืองไทยอย่าง Honda ในการสู้ศึกครั้งนี้
ถึงแม้ Honda จะไม่มีรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มาลุยตลาดเหมือนชาวบ้านชาวช่อง ไม่ได้รับการสนับสนุนอุ้มชูจากภาครัฐ แต่ Honda ยังคงยึดมั่นในเรื่องเทคโนโลยีความประหยัดน้ำมันผสมผสานความโดดเด่นด้านสมรรถนะการขับขี่ จากเทคโนโลยี Full Hybrid ที่สามารถให้ได้ทั้งเรื่องความแรง ตอบสนองดีเยี่ยม แถมประหยัดน้ำมันได้ด้วย และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Honda Accord e:HEV รวมถึงพี่น้องร่วมตระกูลยังคงยืนหยัดสู้ต่อไปได้
Honda Accord e:HEV ภายนอก-ภายใน ทรงเรโทร ย้อนแย้งความล้ำจากเทคโนโลยี Full Hybrid
สำหรับการทดลองขับครั้งนี้ ทีม ISPEED เลือก Honda Accord รุ่นย่อย e:HEV RS มาพิสูจน์ความคุ้มค่าคุ้มราคาดูอีกครั้ง ด้านการออกแบบรูปร่างหน้าตาเมื่อเทียบกับความล้ำด้านการออกแบบรถยนต์ใหม่ๆ ในปัจจุบัน เต็ม 100 คหสต.ขอให้แค่ 80 จากกระจังหน้าที่ว่าดีไซน์สปอร์ตสุดๆ แล้ว พร้อมด้วยโลโก้ RS ตามด้วยชุดไฟหน้า และไฟท้ายแบบ LED มาพร้อมระบบเปิด – ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ไฟ Daytime Running Light แบบ LED, ไฟเลี้ยวด้านหน้า และด้านหลังแบบ LED Sequential ถ้าเอามาประจันหน้ากับแบรนด์รถจีนตรงๆ ถือว่า Honda มาทรงเรโทรไปเลย ดูย้อนยุคไปนิด
เมื่อนับรวมกับบรรดาไฟส่องมือจับเปิดประตูด้านนอก กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมระบบพับเก็บอัตโนมัติ, หลังคาไฟฟ้าแบบพาโนรามาซันรูฟ, เสาอากาศครีบฉลาม สปอยเลอร์หลัง และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ที่ทุกเม็ดเน้นทำสีดำเปียโนแบล๊ค ภาพรวมก็ดูดียกระดับความสปอร์ตได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามความเฉี่ยวอย่างมีมนต์เสน่ห์จนต้องเหลียวหลังกลับหายไปเยอะ ได้มาแค่ความป๋าดูมาเฟียขึ้นก็เท่านั้น
ส่วนภายในห้องโดยสาร การจับโทนสีดำประกบกับการใช้เป็นวัสดุหนังแท้ในส่วนของเบาะนั่งผสมวัสดุหนังสังเคราะห์ เดินด้วยด้ายสีแดง พร้อมชิ้นงานตกแต่งภายในที่เลือกใช้โทนสีเงิน Metallic ลายสวยแต่ยังคงมาแนวเรโทร ตัดด้วยสีดำ Piano Black ทำให้ Honda Accord e:HEV รุ่น RS ยิ่งดูป๋าขึ้นไปอีก ถึงแม้รายละเอียดประเภทกรอบช่องแอร์จะค่อนข้างขัดใจคนล้างรถ ทำความสะอาดรถด้วยตนเองอยู่ก็ตาม
เมื่อไหร่ Honda Lanewatch สหกรณ์หมดไป?
หลังพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงจากทางฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐานอย่าง Blind spot monitoring เมื่อไหร่จะได้รับการบรรจุไว้ในรถยนต์ฮอนด้าที่จำหน่ายประเทศไทยได้ทุกรุ่น คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ “สำหรับตลาดเมืองไทยมีเพียง Honda Lanewatch ก็เพียงพอแล้วต่อการใช้งาน”
หากทางฮอนด้าพิจารณาดีๆ ถึงพฤติกรรมการขับขี่ และการใช้งานรถยนต์ รถจักรยานยนต์ในเมืองไทย มองถึงความแตกต่างเมื่อเทียบกับหลากหลายประเทศทั่วโลก คุณจะพบว่ารถจักรยานยนต์เมืองไทย น้อยนักที่จะปฏิบัติตามกฏหมายจราจร วิ่งเฉพาะเลนซ้ายเท่านั้น เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รถจักรยานยนต์ไทยวิ่งครบทุกเลน การมีเพียง Honda Lanewatch อาจไม่เพียงพอต่อการใช้งานในประเทศไทยอีกต่อไป
การเติมระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน อย่าง Blind spot monitoring รวมถึงกล้อง 360 องศา จึงถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงในทุกโมเดล และควรเลิกการลากยาวใช้ Lanewatch แบบสหกรณ์แบบนี้ได้แล้ว คหสต. เชื่อว่าผู้บริโภคก็คิดแบบเดียวกัน
ในส่วนของเทคโนโลยีอัจฉริยะ Honda SENSING ที่มอบให้มานั้น ภาพรวมการใช้งานถือว่าค่อนข้างเสถียร ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ทั้งในรูปแบบในเมืองและนอกเมืองแล้ว อันนี้ขอชื่นชม
สู้ด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ควบคู่กับสมรรถนะการขับขี่ที่โดดเด่น
กับสมรรถนะการขับขี่ Honda Accord e:HEV RS ชูประเด็นหลักด้านเทคโนโลยี Full Hybrid จากเครื่องยนต์เบนซินขนาดความจุ 1,993 ซี.ซี. แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC ให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า พร้อมแรงบิด 182 นิวตันเมตร จับคู่กับแบตเตอรี่ ลิเธียม-ไอออน พร้อมชุดมอเตอร์ไฟฟ้า 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT รวมพลัง 2 ระบบผลิตม้าได้ 207 ตัว จากทั้งเครื่องยนต์และชุดมอเตอร์ไฟฟ้า ให้แรงบิดสูงสุด 335 นิวตันเมตร ประกอบกับได้โหมดการขับขี่ ที่มีให้เลือกถึง 4 โหมด คือ Normal, Econ, Sport และ EV ช่วยทำให้ผู้ขับสนุกไปกับการเลือกโหมดได้ตามใจชอบ
และสำหรับโหมดที่ถูกจริตทีม ISPEED ที่สุดก็คงจะเป็น EV โหมด ซึ่งลองแล้วลองอีกไม่รู้กี่ครั้ง กับการหนีออกนอกบ้านโดยที่ไม่มีคนในบ้านรู้ตัว เพราะตัวรถเดินเรียบ เงียบเชียบมากตั้งแต่ออกตัวสตาร์ท ((ย้ำ! ปริมาณแบตเตอรี่ต้องมากพอ และไม่ต่ำกว่า 3 ขีด โหมด EV จึงจะทำงาน))
ขณะเดียวกันตัวรถ หากวิ่งใช้งานในรูปแบบปกติ เก็บประจุไฟได้มากพอ ก็สามารถเลือกวิ่งได้ในรูปแบบ EV เงียบๆ เหมือนรถไฟฟ้า วิ่งไหลๆ เข้าบ้านได้ด้วยระยะทางรวมเกือบ 3 กิโลเมตร คุณคิดดูสิ วิ่งชาไป ได้มาฟรีๆแบบไม่ใช้น้ำมัน เครื่องยนต์ไม่ติดวิ่งได้ 3 กิโลเมตร วิ่งกลับก็ได้อีก 3 กิโลเมตร นับรวมๆ แล้วเดือนนึงวิ่งไปกลับจากที่ทำงานถึงบ้านได้ระยะทางรวมแบบสบายๆ ไม่ใช้น้ำมันสักหยด ประหยัดค่าน้ำมันได้เยอะอยู่น้า
กับการเคลมตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ที่ 25 กม./ลิตร ทีม ISPEED สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง แบบนอกเมืองที่ระยะทางรวม 106.3 กิโลเมตร (ก่อนออกเดินทางเติมน้ำมันเต็มถังตัด1ครั้ง) เติมน้ำมันกลับสู่เข้าถัง 6.16 ลิตร ได้อัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 16.2 กม.ลิตร ไม่มีปั้น ใช้อัตราเร่งแซงตามปกติ ใช้ความเร็วเดินทางปกติไม่เกิน 120 กม./ชม. บางจังหวะมีหวดทำความเร็วเพื่อเร่งแซงรถสิบล้อ ตัวเลขนอกเมืองที่ได้มาถือว่าโอเคหรือไม่? เชิญคุณๆผู้ชมเป็นผู้ตัดสินได้…
ขณะเดียวอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในเมืองของ Honda Acccord e:HEV RS กับระยะทางรวม 105.3 กม. (ก่อนออกเดินทางเติมน้ำมันเต็มถังตัด1ครั้ง) วิ่งวนไปวนมาระหว่างรังสิต-รามอินทรา-เกษตรนวมินทร์-ลาดพร้าว-พระราม 9 แล้ววกกลับย้อนทางเดิมเติมน้ำมันกลับเข้าถังให้เต็มตัด 1 ครั้งเช่นเดียวกันที่ 4.7 ลิตร เรากลับได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 22.4-22.5 กม./ลิตร
โดยสรุปแล้วถือว่าอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ Honda เคลมมา ไม่เว่อร์วังจนเกินจริง และแน่นอนว่าถ้าคุณๆ ผู้ชมตั้งแต่ขับขี่ ใช้คันเร่งให้เนียน เบรกให้น้อย รู้จังหวะจะโคนของระบบ Full Hybrid ของ Honda Accord e:HEV RS เผลอๆ คุณๆ อาจจะทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้ดีกว่านักสอบรถก็เป็นได้
สมรรถนะเด่น เน้นขับ ไม่เน้นนั่ง
Honda Accord e:HEV RS กับการใช้ระบบช่วงล่วงด้านหน้า แบบแม็คเฟอร์สันสตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลัง แบบอิสระ มัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง ยังคงเน้นความนุ่มนวล แต่หนึบเกาะถนนเป็นอย่างดี ที่สำคัญที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษนั่นคือการเก็บเสียงของภายในห้องโดยสาร เก็บเสียงมาเนียน นิ่งเงียบมากๆ
ในส่วนของโหมดการขับขี่ ตัวโหมด Sport ซึ่งมีการทำงานควบคู่กันระหว่างเครื่องยนต์ และชุดมอเตอร์ไฟฟ้าให้การตอบสนองที่รวดเร็วทันใจเอามากๆ อยากจี๊ดจ๊าดก็พุ่งทะยานได้ อยากชิลก็ประหยัดด้วย การตอบสนองของคันเร่งถือว่ากระฉับกระเฉงถูกใจสายสปอร์ต
ขณะที่การบังคับควบคุมพวงมาลัย น้ำหนักพวงมาลัย วงพวงมาลัย ทุกอย่างออกแบบมาได้ถูกใจทีม ISPEED ไม่เปลี่ยนแปลง น้ำหนักพวงมาลัยได้ ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป วงพวงมาลัยจับถนัดกระชับมือ แบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) เมื่อใช้ความเร็วสูงน้ำหนักพวงมาลัยปรับน้ำหนักตามความเร็วด้วย ให้ความรู้สึกมั่นคง เวลาโยกเปลี่ยนเลนอาจดูเบาไปนิด แต่ภาพรวมพวงมาลัยคมอยู่ คุมง่าย แต่ถ้าชอบขับแนวสปอร์ต ก็ปรับใช้น้ำหนักพวงมาลัยได้ตามโหมด SPORT ส่วนความเร็วต่ำน้ำหนักพวงมาลัยเบา คล่องตัว แม้ใช้งานในเมืองก็คุมง่าย ไม่ต้องเกร็ง
โดยสรุป
Honda Accord e:HEV RS กับค่าตัว 1,799,000 บาท เป็นรถซีดานที่น่าจะเหมาะกับสายขับ เนื่องจากความเป็นรถคุมง่าย แม้ตัวรถจะมีขนาดใหญ่ยาว แต่คล่องตัวสูงทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง เรื่องความประหยัดหากเน้นใช้งานในเมือง ถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ยังไม่ประสงค์คบหารถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ทั้งไม่มีเวลารอชาร์จไฟ, ไม่มีพื้นที่ติดตั้งวอลล์ชาร์จ, ขี้เกียจหาสถานีชาร์จ ฯลฯ
Honda Accord e:HEV RS ให้ทั้งอัตราเร่งที่ดีขับสนุก ขณะเดียวกันก็ประหยัดน้ำมันได้ในระดับเกิน 20 กม./ลิตร วิ่งใช้งานในเมืองก็ดูป๋าๆ ดี วิ่งนอกเมืองก็นิ่ง นุ่มนวล นั่งสบาย น้ำมันหมดเมื่อไหร่ก็แวะเข้าปั๊มได้ทั่วประเทศ ไม่ต้องค้นหาจุดชาร์จ ไม่ต้องเสียเวลารอชาร์จไฟ และนี่คือ จุดเด่นของรถยนต์แนว Hybrid ที่คาดว่าน่าจะเป็นตัวพลิกเกมกลับมาลุยตลาด สู้รถอีวีจีนได้ด้วยเรื่องของการใช้งานที่ตรงใจ ตรงจุดประสงค์การใช้งาน ไม่วุ่นวาย ได้อัตราสิ้นเปลืองที่ดีไม่แพ้รถอีวี และที่สำคัญคือ มั่นใจได้เรื่องศูนย์บริการหลังการขายที่มีแบบทั่วถึง ทั่วประเทศ อะไหล่ไม่ต้องรอนาน