งานแสดงยานยนต์และเทคโนโลยีระดับโลก JAPAN MOBILITY SHOW 2023 หรือเดิมในชื่อ TOKYO MOTOR SHOW ประจำปีนี้ ถือว่าเป็นไปตามคาด บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด ยังคงนำเสนอมุมมองเทคโนโลยีการขับเคลื่อนแห่งอนาคตได้อย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี ผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ บริการ และเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อน ที่ทางฮอนด้ามุ่งมั่นพัฒนาให้เป็นจริงทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เรียกได้ว่าเป็นการพาส่องอนาคต “ฮอนด้า” ผ่านงานโชว์เทคโนโลยีและนวัตกรรมครั้งยิ่งใหญ่แห่งปีได้เต็มปากเต็มคำ
ณ บูทฮอนด้าที่งาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 ภายใต้แนวคิด “Honda Dream Loop” ทางฮอนด้า ได้เปิดโอกาสให้ผู้เยี่ยมชมงานได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ การขับเคลื่อนแห่งอนาคตที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อตอบโจทย์และเพิ่มคุณค่าให้ผู้คนในการ “ก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น เวลาและสถานที่” และ “เพิ่มพูนศักยภาพและโอกาสให้ทุกคน” พร้อมเชิญชวนให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์การขับเคลื่อนแห่งอนาคตในวงแหวนแห่งความฝันผ่านนวัตกรรม Generative AI ทางเว็บไซต์พิเศษของฮอนด้า https://global.honda/en/japan-mobility-show/2023/
โดยนายโทชิฮิโระ มิเบะ ผู้อำนวยการ ประธานกรรมการบริหาร และตัวแทนเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “The Power of Dreams – How we move you คือ Global Brand Slogan ของฮอนด้าที่ต้องการถ่ายทอดข้อความที่ว่า ความฝันของพนักงานฮอนด้าทุกคนเป็นพลังขับเคลื่อนให้แก่ฮอนด้ามาโดยตลอด ในขณะที่หลากหลายผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนและบริการที่ฮอนด้าสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วย พลังแห่งความฝันเหล่านี้ สามารถนำพาผู้คนไปยังที่ต่าง ๆ ขับเคลื่อนหัวใจของผู้คน และช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงความฝันของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่อีกมากมายในอนาคต โดยแนวคิดหลักของบูทฮอนด้าในปีนี้ คือ ‘Honda Dream Loop’ ที่สะท้อนให้เห็นถึงอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยความฝันอันหลากหลายของผู้คน และจะยังคงแผ่ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการ ด้านการขับเคลื่อนที่รวบรวมความฝันของฮอนด้าเอาไว้ ที่ช่วยให้ผู้คน ‘ก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น เวลาและสถานที่’ และ ‘เพิ่มพูนศักยภาพและโอกาสให้ทุกคน’ ซึ่งถือเป็นคุณค่าที่สำคัญของผลิตภัณฑ์และบริการด้านการขับเคลื่อนทุกประเภทที่ฮอนด้านำเสนอมาตลอด 75 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และจะยังคงเป็นคุณค่าอันเป็นเอกลักษณ์ที่ฮอนด้ามุ่งมั่นนำเสนอ เพื่อให้ผู้คนได้รับความสุขและอิสระในการเดินทางต่อไปในอนาคต”
ทั้งนี้ ฮอนด้า จึงได้ถ่ายทอดความฝันของบริษัทออกมาผ่านผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อน บริการ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถ “ก้าวข้าม (Transcend) ขีดจำกัดต่าง ๆ เช่น เวลาและสถานที่” และ “เพิ่มพูน (Augment) ศักยภาพและโอกาสของพวกเขา” โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้จินตนาการถึงความฝันในอนาคตของตัวเอง และสัมผัสกับความฝันใหม่ที่ไร้ขอบเขตอีกมากมาย ภายในบูทฮอนด้าในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 ปีนี้
โดยไฮไลต์ของ บูทฮอนด้าในงาน JAPAN MOBILITY SHOW 2023 เริ่มต้นกันที่โซนแรก โซนผลิตภัณฑ์และบริการด้านการขับเคลื่อนที่ช่วยให้ผู้คนสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดต่าง ๆ ได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลากหลายผลิตภัณฑ์ในโซนนี้ ได้รับการออกแบบมาได้อย่างน่าสนใจ
• Cruise Origin ยานพาหนะอัตโนมัติที่จะช่วยให้ผู้คนสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของเวลา พื้นที่ภายในของยานพาหนะคันนี้มอบความเป็นส่วนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ใช้งานสามารถใช้เวลาเดินทางได้อย่างอิสระมากขึ้น เช่น การจัดการประชุม หรือการใช้เวลาอย่างสนุกสนานกับครอบครัวโดยไม่ต้องกังวลกับคนอื่นรอบข้าง ยานพาหนะคันนี้จะช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามข้อจำกัดของเวลาได้อย่างแน่นอน เพราะเวลาถือเป็นข้อจำกัดสำหรับคนส่วนใหญ่ ผลิตภัณฑ์และบริการด้านการขับเคลื่อนที่ช่วยให้ผู้คนใช้เวลาที่มีจำกัดได้อย่างเท่าเทียมกัน ตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 365 วันต่อปี ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถทำในสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้น เปรียบเสมือนการมอบคุณค่าอันมหาศาลให้กับผู้คน ฮอนด้าร่วมมือกับ GM และ Cruise วางแผนที่จะเปิดตัวบริการเรียกรถไร้คนขับในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ Cruise Origin ซึ่งจะเริ่มให้บริการภายในต้นปี พ.ศ. 2569
• Honda eVTOL และ HondaJet ต่อยอดการขับเคลื่อนในรูปแบบสามมิติสู่ท้องฟ้า และช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามข้อจำกัดของสถานที่และระยะทางได้
การผสานการทำงานของเครื่องบินเหล่านี้เข้ากับระบบการขับเคลื่อนภาคพื้นดิน เพื่อช่วยให้ผู้คนเดินทางได้อย่างอิสระและราบรื่นไร้รอยต่อมากขึ้นทั้งภาคพื้นดิน ในมหาสมุทร และบนท้องฟ้า ทำให้อุปสรรคที่ผู้คนต้องเผชิญในการเดินทางระยะไกลจะลดลง ทำให้ผู้คนสามารถย้ายไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ชานเมืองที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และไปทำงานในเมืองตามความจำเป็นได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถ “ก้าวข้ามข้อจำกัดของสถานที่และระยะทาง” ได้ ทำให้มีชีวิตที่ดีและมีความสุขยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและ การทำงานได้ดียิ่งขึ้น
• SUSTINA-C Concept ที่ช่วยให้ผู้คนก้าวข้ามข้อจำกัดของทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
SUSTAINA-C Concept เปิดตัวครั้งแรกในโลก นี่คือ Concept model ของรถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการออกแบบเพื่อสะท้อนแนวคิดในการก้าวข้ามข้อจำกัดของทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ผ่าน “การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน” โดยผลิตจากเรซินอะคริลิกที่ผ่านการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งมอบความสุขและอิสระในการขับเคลื่อนสู่อนาคต
SUSTINA-C เป็นรถยนต์ที่ทำจากเรซินอะคริลิกที่รีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ การหมุนเวียนทรัพยากรในลักษณะนี้จะช่วยให้เราสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และบรรลุเป้าหมายทั้งในด้านความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความสุขและอิสระในการขับเคลื่อนสู่อนาคต
สำหรับโซนต่อมา คือ โซนผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพและความเป็นไปได้ของผู้คน
• Honda Avatar Robot และ UNI-ONE จะช่วยเพิ่มพูนศักยภาพและความเป็นไปได้ของผู้คน
Honda Avatar Robot สามารถสั่งงานและควบคุมได้จากระยะไกล ทำให้เราสามารถปฏิบัติงานและสัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ ได้ราวกับว่าอยู่ที่นั่นด้วยตนเอง การใช้ Honda Avatar Robot จะช่วยให้ทุกคน รวมถึงผู้ที่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนที่อันเนื่องมาจากสาเหตุต่าง ๆ สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้จากสถานที่ห่างไกลอย่างมีประสิทธิภาพ และ UNI-ONE เป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่ ที่ผู้ใช้งานสามารถบังคับทิศทางได้ง่าย ๆ โดยการเปลี่ยนถ่ายน้ำหนักตัวขณะนั่งโดยไม่ต้องใช้มือ จึงสามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ ขณะเคลื่อนที่ได้ UNI-ONE จึงช่วยเพิ่มโอกาสให้กับผู้ใช้ที่มีปัญหาทางการเคลื่อนไหวสามารถขยับและเคลื่อนที่ได้
• Honda CI-MEV รถยนต์ขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ ที่ช่วยเพิ่มและขยายขอบเขตการใช้ชีวิตของผู้คนได้อย่างไร้ขอบเขต
การขับรถและการเดินอาจกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่ไม่มีรถสาธารณะให้บริการ คนกลุ่มนี้มักจะมีขอบเขตการดำรงชีวิตที่จำกัด หากมีผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอการขับเคลื่อนที่เข้าถึงได้ง่าย ผู้คนก็สามารถไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น และคล่องตัวมากขึ้น หากทุกคนสามารถเพลิดเพลินไปกับการเดินทางได้อย่างอิสระ และขยายขอบเขตการดำเนินชีวิตได้มากขึ้น พวกเขาจะมีโอกาสพบปะผู้คนใหม่ ๆ มากขึ้น ซึ่งฮอนด้าเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสของผู้คนได้ในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนอื่น ๆ ของฮอนด้าที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเป็นไปได้ในชีวิตของผู้คน อาทิ
・ รถต้นแบบเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ mini-BEV และ Power Exporter e: 6000 อุปกรณ์จ่ายพลังงานไฟฟ้าแบบพกพา
อีกทั้งผลิตภัณฑ์ด้านการขับเคลื่อนและบริการที่ริเริ่มจาก IGNITION*2 หรือหน่วยสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ของฮอนด้า ได้แก่
・ Ashirase – สายรัดในรองเท้าพร้อมระบบนำทาง สำหรับผู้พิการทางสายตา (Ashirase Inc.)
・ Striemo – สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสามล้อสำหรับหนึ่งคน (Striemo Inc.)
・ RAIL ACTIVE-e bicycle – รถจักรยานไฟฟ้า ที่ติดตั้งระบบ SmaChari ซึ่งจะเชื่อมต่อและช่วยเหลือผ่านระบบไฟฟ้า (Y. International., inc.) โดย SmaChari จะเป็นเทคโนโลยีแรกที่มาจากหน่วยงาน IGNITION ที่จะทำการค้าภายใต้แบรนด์ฮอนด้า
ตามด้วยโซนที่ 3 คือ โซนที่เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อมวลชนทั่วโลกได้อย่างมีนัยยะสำคัญ กับการปรากฏตัวของ HONDA Prelude Concept ยนตรกรรมสปอร์ตที่จะมาบุกเบิกอนาคตแห่งขุมพลังการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบของฮอนด้า
Prelude Concept คือ ยนตรกรรมสปอร์ตที่พร้อมนำเสนอประสบการณ์การขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจ ที่ทำให้คุณอยากที่จะขับต่อไปและรู้สึกตื่นเต้นในการขับขี่อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ด้วยการส่งมอบ “ความสนุกสนานและเพลิดเพลินในการขับขี่” ไปพร้อมกับจิตวิญญาณความเป็นสปอร์ตของฮอนด้า
ซึ่งไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ฮอนด้า ยังมีการนำเสนอข้อมูลของยนตรกรรมเอสยูวีพลังงานไฟฟ้า 100% ในกลุ่ม B-Segment อย่าง ฮอนด้า e:Ny1 ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์ม e:N Architechture F แพลตฟอร์มที่รองรับการขับเคลื่อนด้วยชุดมอเตอร์หน้า และแบตเตอรี่ความจุสูงที่สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว จาก 10-80% โดยใช้เวลาเพียง 45 นาที เมื่อใช้ที่ชาร์จแบบ DC ต่อเข้ากับหัวชาร์จ CCS ซึ่งสามารถรชาร์จไฟเพื่อวิ่งต่อได้อีก 100 กม. ภายในเวลา 11 นาทีเท่านั้น ส่วนที่ชาร์จไฟบ้านแบบ AC จะสามารถชาร์จไฟ 10-80% ของความจุได้ภายในเวลา 6 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ยังพัฒนาเทคโนโลยีการจัดการพลังงานแบตเตอรี่ที่ส่งผลให้ ฮอนด้า e:Ny1 สามารถวิ่งได้ระยะทาง 412 กม. ต่อ 1 การชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP โดยตัวแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 68.8 kWh ได้ถูกวางไว้ในตำแหน่งใต้พื้นรถ
โดย ฮอนด้า e:Ny1 ใหม่ ได้รับการออกแบบให้มีบุคลิกที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างจากไลน์อัพรถยนต์ฮอนด้าทั่วไป สะท้อนความเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สวยสะดุดตาด้วยดีไซน์ภายนอก ระยะ overhang ด้านหน้าสั้น ล้อขนาดใหญ่และฐานที่กว้าง เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจในสไตล์รถ SUV ไฟหน้าโฉบเฉี่ยวและเป็นเอกลักษณ์ และกระจังหน้าที่มีผิวสัมผัสเรียบ ทําให้ e:Ny1 มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น ด้วยการออกแบบเส้นสายรอบคันอย่างกลมกลืน
เส้นสายของ LED แนวยาวใต้แนวฝากระโปรง เชื่อมต่อกับไฟหน้า โดยจะแสดงสถานะขณะกำลังชาร์จไฟในรูปแบบเฉพาะตัว ฝาสปอยเลอร์หน้าสไตล์สปอร์ตที่ติดตั้งเสมือนลอยอยู่ใต้กระจังหน้า เพื่อปิดซ่อนหม้อน้ำขณะจอดรถ กระจังหน้าด้านล่างตกแต่งด้วยสีดําเงา ดูหรูหรา โฉบเฉี่ยว ยิ่งขึ้น
ช่องชาร์จไฟอยู่หลังแผงกระจังหน้าที่สามารถหมุนเปิดเข้าด้านในเพื่อทำการชาร์จไฟ อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของกระจังหน้า ทำให้สามารถชาร์จไฟได้สะดวกจากทั้งสองฝั่งของตัวรถ
โครงสร้างตัวถังของฮอนด้า e:Ny1 ใช้โครงสร้างแบบเดียวกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี โดดเด่นในสไตล์สปอร์ตคูเป้ มาพร้อมเส้นสาย belt line และ character line ที่เฉียบคม พื้นผิวเรียบเนียน ลวดลายการออกแบบที่เรียบง่าย เป็นระเบียบ อีกทั้งจัดวางมือจับประตูหน้าและการซ่อนมือจับประตูหลังไว้ด้วยดีไซน์ที่กลมกลืนรอบคัน จากด้านหน้าสู่ด้านท้าย
ไฟเลี้ยวด้านหลัง ไฟเบรก และไฟถอยหลัง ได้รับการออกแบบให้อยู่ในชุดโคมเดียวกัน พร้อมเส้นไฟท้ายที่ยาวเต็มพื้นที่ ช่วยให้ดีไซน์ด้านหลังดูกว้าง และให้รูปลักษณ์ที่ดูมั่นคง
ครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดตัวอัตลักษณ์ใหม่ของยนตรกรรมไฟฟ้าจากฮอนด้า โดยฮอนด้า e:Ny1 ใหม่ จะมาพร้อมกับสัญลักษณ์ H Mark สีขาว ที่ด้านหน้า ตรงกลางฝาครอบล้อ และพวงมาลัย นอกจากนี้ ยังมีการเลือกใช้ฟอนต์ใหม่ที่ดูสมาร์ต เป็นการเน้นชื่อแบรนด์ฮอนด้าด้านหลังให้โดดเด่น ให้ลุคที่สดใหม่ พรีเมียม และจะถูกนำมาใช้กับรถไฟฟ้าทั้งหมดของฮอนด้าในอนาคต
ยกระดับประสบการณ์ภายในรถยนต์สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทัศนวิสัยในการขับขี่และการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยได้ทำการออกแบบคอนโซลกลางใหม่ การจัดวางปุ่มเกียร์ที่เรียบง่าย เข้ากับสวิตช์เบรกมือไฟฟ้า ทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งที่คนขับจะเอื้อมถึงได้ง่าย รวมทั้งอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สายด้วย หน้าจอสัมผัสขนาด 15.1 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง ช่วยให้เข้าถึงเมนู Infotainment ต่าง ๆ ได้ง่ายผ่านการแบ่งโซนใหม่ที่ออกแบบมาเฉพาะรุ่นนี้ พร้อมด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว การออกแบบหน้าจอยังสะท้อนเอกลักษณ์การออกแบบภายในที่เรียบง่าย สะอาดตาและเป็นระเบียบ
เบาะนั่งด้านหน้าได้รับการพัฒนาโดยมุ่งเน้นความสะดวกสบายและหรูหรา ด้วยแผ่นรองยูรีเทนแบบหนา ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่พร้อมโอบรับสรีระในช่วงเร่งความเร็วหรือเข้าโค้ง โดยวัสดุหุ้มเบาะมีให้เลือกแบบหนังสังเคราะห์สีดําหรือสีเทาอ่อนขึ้นอยู่กับสีภายนอก โดยออกแบบให้ดูสปอร์ตและโฉบเฉี่ยว
ฮอนด้า e:Ny1 ยังมอบความอเนกประสงค์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานได้หลากหลาย ฝากระโปรงท้ายต่ำและพื้นราบด้านหลังช่วยให้สามารถขนสัมภาระเข้าออกได้ง่าย โดยพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสามารถจุสัมภาระได้สูงสุด 361 ลิตร และหากพับเบาะลงจะเพิ่มขึ้นเป็น 801 ลิตร เมื่อบรรทุกถึงแนวหน้าต่างด้านหลัง และได้สูงสุดที่ 1,176 ลิตร เมื่อนำสัมภาระใส่จนเต็มพื้นที่ด้านหลังจนชนเพดานห้องโดยสาร
ฮอนด้า e:Ny1 ยังเป็นยนตรกรรมฮอนด้าที่ได้แนะนำเทคโนโลยี HMI เป็นครั้งแรก ด้วยการเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่เน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง พร้อม interface ที่ใช้งานง่ายมากขึ้น ไฮไลต์ที่สำคัญ ได้แก่ หน้าจอสัมผัสขนาด
15.1 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง และมาตรวัดแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 10.25 นิ้วที่รวมฟังก์ชันการใช้งาน
การแสดงข้อมูล Infotainment และข้อมูลการขับขี่ ที่พร้อมเชื่อมต่อผู้ขับขี่กับรถยนต์และโลกภายนอกได้อย่างไร้รอยต่อ
หน้าจอสัมผัสขนาด 15.1 นิ้ว บริเวณคอนโซลกลาง ใช้งานได้ง่ายด้วยการจัดวางเมนูที่แบ่งเป็นสัดส่วน 3 โซนบนหน้าจอ สามารถเลือกใช้ได้สะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียสมาธิในการขับขี่ ด้านบนเป็นโซน ‘Connect’ ที่จะรวมระบบนําทาง นาฬิกา
และจอแสดงผลของกล้องไว้ โดยจัดลําดับความสําคัญให้อยู่ด้านบนเพื่อให้สามารถมองเห็นได้เด่นชัดในระดับสายตาของผู้ขับขี่ โซนกลางเป็น ‘Driver Assist’ หรือระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ โดยจะแสดงสถานะการทำงานของรถยนต์ การตั้งค่าระบบเสียงและการสื่อสารต่าง ๆ รวมถึงแอปพลิเคชันและการตั้งค่าระบบรถยนต์ พร้อมด้วยเมนูแสดงการทำงานของระบบ EV และการควบคุมการใช้โทรศัพท์ โซนด้านล่างเป็นการควบคุมระบบปรับอากาศที่แสดงข้อมูลการปรับอากาศและระบบ Air Diffusion System กระจายความเย็นหมุนวน โดยแสดงให้เห็นบนจอตลอดเวลา สำหรับฟังก์ชันที่ใช้งานเป็นประจำจะแสดงให้เห็นเด่นชัดที่สุด เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน และสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้
นอกจากนี้ ระบบยังรองรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ รวมถึง Apple Car Play ไร้สาย และ Android Auto พร้อมด้วยฟังก์ชัน Wi-Fi ในรถยนต์ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่อได้ทุกที่ การอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-the-air ที่สามารถอัปเดตฟังก์ชันและแอปต่าง ๆ ได้จากระยะไกล เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถจะได้รับการอัปเดตการทำงานของระบบให้ทันสมัยอยู่เสมอโดยไม่ต้องนำรถเข้าศูนย์บริการ*
ทั้งนี้ ฮอนด้า e:Ny1 เป็นรถรุ่นล่าสุดของฮอนด้าที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีกล้องและโซนาร์ล่าสุด ซึ่งระบบที่เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพของกล้องคือ เซนเซอร์โซนาร์ 12 จุดรอบคันรถ แบ่งเป็น 4 จุดที่บริเวณกันชนหน้าและหลัง และด้านข้าง ข้างละ 2 จุด ที่สามารถตรวจจับวัตถุ เช่น อาคาร และพาหนะอื่น ๆ ด้วยความแม่นยําสูง ระบบกล้องและโซนาร์จะทำงานร่วมกันเพื่อยกระดับความปลอดภัยโดยรวม ทำให้ ฮอนด้า e:Ny1 สามารถระบุสัญลักษณ์บนพื้นถนนและริมถนนที่ไม่มีเส้นได้ ซึ่งรวมถึงรถจักรยานยนต์ นักปั่นจักรยาน และยานพาหนะอื่น ๆ
และเมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ทางฮอนด้ายังคงเน้นย้ำถึงเป้าหมายด้านการใช้งานระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ เพื่อสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุสำหรับทุกคนที่ท้องใช้ถนนร่วมกัน ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยเจนเนอเรชั่นใหม่
● ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 (Honda SENSING 360)
เพื่อแนะนำเทคโนโลยีในเจเนอเรชันใหม่โดยการเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ ให้กับฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 ในรุ่นปัจจุบันเพื่อช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ด้วยระบบการตรวจจับสภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และสภาพแวดล้อมโดยรอบตัวรถ ช่วยลดความเสี่ยงในการเฉี่ยวชนและเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเริ่มเพิ่มฟังก์ชันใหม่ ๆ นี้ในรถยนต์ที่จำหน่ายทั่วโลกภายในปี 2567
● ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท (Honda SENSING Elite)
ในส่วนของเทคโนโลยีเจเนอเรชันใหม่ของฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท ฮอนด้าได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่
เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและราบรื่นในทุกเส้นทางตั้งแต่ออกจากบ้านไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งรวมถึงเส้นทางที่ไม่ได้เป็นทางด่วนด้วย โดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการจดจำและความเข้าใจที่ได้รับจากเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) ต้นแบบของฮอนด้า โดยจะเริ่มแนะนำเทคโนโลยีใหม่ทั่วโลกในช่วงกลางทศวรรษ 2020
โดยทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวถึงก็เพื่อการบรรลุเป้าหมาย 2030 ของฮอนด้า ด้านการใช้งานระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกลงให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 ฮอนด้าได้ตั้งเป้าหมายไว้ดังต่อไปนี้:
• ติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทุกรุ่นทั่วโลก (รวมทั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 และฮอนด้า
เซนส์ซิ่ง อีลิท) พร้อมฟังก์ชันการตรวจจับรถจักรยานยนต์ภายในปี 2573
• ติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทั้งหมดในตลาดหลัก ภายในปี พ.ศ. 2573
จากโกลบอล สโลแกน ของฮอนด้าทั่วโลกในด้านความปลอดภัย “Safety for Everyone” ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุสำหรับทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกัน ผ่านการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยปัจจุบัน ฮอนด้าติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ในยนตรกรรมรุ่นที่ผลิตเพื่อการจำหน่ายเป็นจำนวนมาก คิดเป็น 99% ของยนตรกรรมฮอนด้ารุ่นใหม่ที่จำหน่ายในญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และ 86% สำหรับตลาดทั่วโลก โดยมียอดขายสะสมของยนตรกรรมที่ติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อยู่ที่ 14 ล้านคัน*1
โดย ฮอนด้า ได้พัฒนาฟังก์ชันต่าง ๆ ของฮอนด้า เซนส์ซิ่ง มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี พ.ศ. 2564 ฮอนด้า
ได้เปิดตัว ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Traffic Jam Pilot ซึ่งมีคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 และจากการต่อยอดองค์ความรู้ที่รวบรวมจากงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท ฮอนด้าก็ได้พัฒนาระบบความปลอดภัยรอบทิศทางฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 (Honda SENSING 360) และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งช่วยขจัดจุดบอดรอบ ๆ ตัวรถ และช่วยในการหลีกเลี่ยงการชนและลดภาระของผู้ขับขี่ โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 ที่ประเทศจีนเป็นแห่งแรก
วันนี้ ฮอนด้า ยังได้เผยโฉมเทคโนโลยีความปลอดภัย ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยลดภาระของผู้ขับขี่ ด้วยการตรวจจับสภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ขับขี่และสภาพแวดล้อมโดยรอบของรถเพื่อป้องกันการเฉี่ยวชน โดยจะเพิ่มฟังก์ชันใหม่เหล่านี้ในฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 รุ่นปัจจุบัน และจะขยายการติดตั้งเพื่อใช้งานในทั่วโลกเริ่มในปี พ.ศ. 2567
สำหรับ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมฟังก์ชันใหม่ที่พัฒนาขึ้นจากการต่อยอดเทคโนโลยีการจดจำและความเข้าใจ โดยการใช้เทคโนโลยี AI ต้นแบบของฮอนด้า โดยฟังก์ชันใหม่เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่เดินทางอย่างปลอดภัยและราบรื่นมากขึ้น นับตั้งแต่ออกจากบ้านไปยังจุดหมายปลายทาง และรู้สึกอุ่นใจในทุกเส้นทาง ซึ่งตอนนี้สามารถเปิดใช้งานบนถนนที่ไม่ใช่ทางด่วนได้อีกด้วย
สำหรับแผนการในอนาคต ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะติดตั้งเทคโนโลยีฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ทั่วโลก
(รวมทั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 และฮอนด้า เซนส์ซิ่ง อีลิท) พร้อมฟังก์ชันการตรวจจับรถจักรยานยนต์ให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ ฮอนด้ายังตั้งเป้าการติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 ให้กับรถยนต์รุ่นใหม่ในตลาดหลักทั้งหมดให้สำเร็จภายในปี พ.ศ. 2573 พร้อมไปกับการพัฒนาฟังก์ชันของฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ต่อไปอย่างต่อเนื่อง และด้วยแนวคิดริเริ่มเหล่านี้ ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้ได้ครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2573
ฮอนด้ามุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุจากการใช้รถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกภายในปี พ.ศ. 2593 ด้วยการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของบริษัทฯ ที่ดำเนินธุรกิจทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์ ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย ฮอนด้าจะทำงานอย่างจริงใจเพื่อสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุสำหรับทุกคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน
ฮอนด้ามุ่งมั่นที่สร้าง “สังคมปลอดอุบัติเหตุและลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถจักรยานยนต์และรถยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ ตามเป้าหมายการดำเนินงานปี พ.ศ. 2593” ด้วยการใช้ 2 เทคโนโลยีหลัก ได้แก่ ครั้งแรกในโลก*1 กับเทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI-powered Intelligent Driver-Assistive Technology) ที่สามารถให้การช่วยเหลือที่เหมาะสมกับความสามารถและการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคน โดยช่วยลดความผิดพลาดและความเสี่ยงในการขับขี่ ทำให้ผู้ขับขี่ใช้งานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
พร้อมด้วยเทคโนโลยีเครือข่ายสนับสนุนความปลอดภัยในการขับขี่ (Safe and Sound Network Technology) ที่เชื่อมต่อผู้ใช้ถนนทั้งหมดเข้าด้วยกัน ทั้งผู้คนและผลิตภัณฑ์เพื่อการขับเคลื่อนทั้งหมด ผ่านระบบโทรคมนาคม เพื่อช่วยคาดการณ์ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และช่วยคนให้เลี่ยงความเสี่ยงนั้น ๆ ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุได้
ฮอนด้าจะขยายการติดตั้ง ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง 360 (Honda SENSING 360) ซึ่งเป็นระบบความปลอดภัยรอบทิศทางและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ให้ครอบคลุมรถยนต์ทุกรุ่นที่จะวางจําหน่ายในตลาดหลักทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 นอกจากนี้ ฮอนด้าจะเดินหน้าขยายการใช้งานฟังก์ชันตรวจจับรถจักรยานยนต์ และปรับปรุงฟังก์ชันต่าง ๆ ของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (Advanced Driver-Assistant System – ADAS) ให้ดียิ่งขึ้นฮอนด้าตั้งเป้าที่จะนําเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้งานจริงหลังจาก พ.ศ. 2573 โดยจะสร้างระบบและตรวจสอบประสิทธิภาพในการใช้งานให้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2020 จากนั้น จะเร่งสร้างร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม พร้อมภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020
ฮอนด้าตั้งเป้าที่จะนําเทคโนโลยีนี้ไปประยุกต์ใช้งานจริงหลังจาก พ.ศ. 2573 โดยจะสร้างระบบและตรวจสอบประสิทธิภาพในการใช้งานให้เสร็จสมบูรณ์ในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2020 จากนั้น จะเร่งสร้างร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรม พร้อมภาครัฐและเอกชน โดยมีเป้าหมายทำให้เทคโนโลยีนี้กลายเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2020
และไม่เพียงแค่มีโซนแสดงนวัตกรรมยานยนต์ ทางฮอนด้า ยังสร้าง “การขับเคลื่อนในฝัน” ผ่านประสบการณ์ Generative AI
โดยฮอนด้าได้เชิญชวนให้ผู้เยี่ยมชมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนแห่งฝัน (Dream Loop) ของฮอนด้าด้วย ซึ่งฮอนด้าเริ่มนำ generative AI มาใช้ช่วยงานด้านออกแบบของทีมออกแบบ ในการถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ สำหรับในงาน JAPAN MOBILITY SHOW ครั้งนี้ generative AI จะสร้างภาพการออกแบบของการขับเคลื่อนในอนาคตที่ใฝ่ฝัน และแสดงภาพเหล่านั้นบน “Loop Screen” ภายในบูทฮอนด้า